วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ข้อสอบ 20 ข้อเรื่องRouter

ข้อสอบ 20 ข้อเรื่องเราเตอร์
1.เราเตอร์จะมองและแบ่งเครือข่ายออกเป็นส่วน ๆ เรียกว่า อะไร
ก. network C
ข. Segment
ค. routing table
ง. static route
ตอบข้อ ข เซกเมนต์ (Segment) พร้อมทั้งกำหนดตัวเลขแอดเดรส (Address) เพื่อให้เป็นตำแหน่งที่อยู่ การกำหนดแอดเดรสของเครือข่ายแต่ละเซกเมนต์และคอมพิวเตอร์แต่ละตัวนั้นจะช่วยให้เราเตอร์

2.การแบ่งประเภทของ routing algorithm ออกเป็นกี่ประเภท
ก.1
ข.3
ค.2
ง.4
ตอบข้อ ค 2 ประเภทคือ interior routing protocol และ exterior routing protocol

3.ลักษณะที่สำคัญของการติดต่อแบบ Distance-vector คือ ในแต่ละ Router จะมีข้อมูล ใดเอาไว้พิจารณาเส้นทางการส่งข้อมูล
ก. routing table
ข. static route
ค. network C
ง. Segment
ตอบข้อ ก routing table เอาไว้พิจารณาเส้นทางการส่งข้อมูล โดยพิจารณาจากระยะทางที่ข้อมูลจะไปถึงปลายทางเป็นหลัก

4.ระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย มีไม่เกิน กี่เมตร
ก.500 เมตร
ข.100 เมตร
ค.250 เมตร
ง.200 เมตร
ตอบข้อ ง 200 เมตร ท่านควรใช้ Router ที่ทำจาก Server เนื่องจากว่าราคาถูก อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อกันได้ โดยใช้สาย UTP


5.ในกรณีที่ท่านต้องการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่า 2 เครือข่ายขึ้นไป ท่านควรพิจารณาเลือกใช้ layerใด
ก. Layer 4 Switching Hub
ข. Layer 2 Switching Hub
ค. Layer 3 Switching Hub
ง. Layer 1 Switching Hub
ตอบข้อ ค Layer 3 Switching Hub แทน เนื่องจากอัตราความเร็ว รวมทั้งปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่ข้ามไปมาหลายเครือข่ายสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

6.โดยทั่วไปหากวิ่งที่ 100 Mbps แต่ละพอร์ตของ Switches จะสามารถส่งผ่านข้อมูลในรูปแบบของเฟรมได้มากถึงกี่เฟรมต่อวินาที
ก.190,000 เฟรมต่อวินาที
ข.148,000 เฟรมต่อวินาที
ค.145,000 เฟรมต่อวินาที
ง.140,000 เฟรมต่อวินาที
ตอบข้อ ข 148,000 เฟรมต่อวินาที โดยหากเทียบกันกับ Router ที่ทำจากเซิร์ฟเวอร์แล้ว Layer 3 Switching จะเร็วกว่ากันมาก

7.ระบบปฏิบัติการที่ใช้กับเครื่องพีซีทั่วไป โดยระบบปฏิบัติการของ Router เราเรียกว่า
ก. Cisco IOS

ข. Layer
ค. Cisco
ง. Switching
ตอบข้อ ก Cisco IOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่จะทำให้ท่านสามารถ จัดตั้งค่า Configuration รวมทั้งการบริหารจัดการ Router รวมทั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อกับ Router ของ Cisco ได้โดยสะดวก

8.ข้อใดเป็นคำสั่งที่ใช้แสดงการจัด Configuration ของระบบ Hardware
ก.show Version
ข. show Memory
ค. show Protocols
ง. show Processes
ตอบข้อ ก show Versionเป็นคำสั่งที่ใช้แสดงการจัด Configuration ของระบบ Hardware เช่น Version ของ Software ที่ใช้ใน Router ชื่อของ Configuration File อันเป็นต้นฉบับ รวมทั้ง Boot Images

9.เครือข่ายหนึ่งที่ใช้สายส่งข้อมูลแบบ coaxial cable ได้ Router มีการทำงานในระดับชั้นที่เท่าใด
ก.2
ข.3
ค.4
ง.5
ตอบข้อ ข ระดับชั้นที่ 3 ของ OSI คือ Network Layer และสามารถรับส่งข้อมูลที่เป็นกลุ่มข้อมูลหรือ Frame จากต้นทางไปยังปลายทางได้

10. คำสั่งที่ใช้เคลียร์ หน้าที่การทำงานต่างๆออกทั้งหมดคือ
ก. Connect
ข. Clock
ค. Clear
ง. Configure
ตอบข้อ ค Clear

11.หมายเลข IP address ที่มีให้ใช้งานใกล้จะหมด เนื่องจาก IPv4 มีขนาด กี่บิต
ก. 30 บิต
ข. 32 บิต
ค. 33 บิต
ง. 34 บิต
ตอบข้อ ข 32 บิต ทำให้สามารถกำหนดค่า IP address ได้ไม่เพียงพอสำหรับอนาคต ทำให้ไม่สามารถขยายเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้อีกต่อไป

12.ในการติดต่อโดยโปรโตคอล IPv6 สามารถกำหนดลักษณะการทำงานได้กี่แบบ
ก.2
ข.5
ค.3
ง.7
ตอบข้อ ค 3 แบบ คือ unicast, multicast และ ancycast

13. คำสั่งใดใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ
ก. Ping
ข. rlogin
ค. mtrace
ง. resume
ตอบข้อ ก Ping

14. อุปกรณ์ Router มีหน้าที่ทำอะไร
ก.ส่งข้อมูล
ข.รับข้อมูล
ค.เชื่อมโยงเครือข่ายที่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน
ง.จัดเก็บข้อมูล
ตอบข้อ ค เชื่อมโยงเครือข่ายที่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน ไม่ว่าเครือข่ายนั้นจะต่างหรือเหมือนกันในด้านกายภาพก็ตาม

15.หมายเลข IP address ทุกค่าจะมีรูปแบบที่เขียนให้เข้าใจเหมือนกันคือ เป็นตัวเลขกี่ชุด
ก.2 ชุด
ข.3 ชุด
ค.6 ชุด
ง.4 ชุด
ตอบข้อ ง 4 ชุดคั่นด้วยจุด เพื่อให้อ่านและจกจำได้ง่าย IP address มีขนาด 32 บิต เช่น 204.283.255.20 เป็นต้น

16.เครือข่ายที่มีหมายเลขไอพีแอดเดรส 192.168.30.0 ออกเป็นเครือข่ายย่อยๆ (Subnet) จำนวน กี่เครือข่าย
ก.5 เครือข่าย
ข.6 เครือข่าย
ค.7 เครือข่าย
ง.8 เครือข่าย
ตอบข้อ ข 6 เครือข่าย จากนั้นนำมาเชื่อมต่อกัน เพื่อการสื่อสารกันด้วย Router


17.ปริมาณข้อมูลข่าวสารมีขนาดเล็กหรือปานกลางวิ่งที่ความเร็วไม่เกินกี่ mbps
ก.100 mbps
ข.150 mbps
ค.300 mbps
ง.200 mbps
ตอบข้อ ก 100 Mbps และมีราคาถูก ท่านควรเลือกใช้ Router ที่ทำจากเซิร์ฟเวอร์เช่นกัน

18.ระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายที่ต่างก็ใช้ Switching Hub มาเชื่อมต่อกับเครือข่าย ได้ไกลกี่กิโลเมตร
ก.4 กิโลเมตร
ข.3 กิโลเมตร
ค.2 กิโลเมตร
ง.1 กิโลเมตร
ตอบข้อ ค 2 กิโลเมตร (หากกำหนดให้ Switches ทั้งหมดทำงานเป็น Full Duplex)

19.รูปแบบการเชื่อมต่อแบบนี้ท่านไม่จำเป็นต้องใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง (Routing Protocol) แต่ท่านสามารถใช้ วิธีการ Routing แบบ ที่เรียกว่าว่าอะไร
ก. Static

ข. Hybrid
ค. Spoke
ง. Hub
ตอบข้อ ก Static แทน ซึ่งวิธีนี้ มีประสิทธิภาพดีกว่าการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง อีกทั้ง Router ที่ใช้มีขนาดเล็ก ราคาถูก ติดตั้งง่าย

20.การเชื่อมต่อแบบ Mesh สามารถมีได้กี่รูปแบบ
ก. 3 รูปแบบ
ข. 2 รูปแบบ
ค. 4 รูปแบบ
ง. 5 รูปแบบ
ตอบข้อ ข 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบ Partial หรือ Semi Mesh และแบบ Full Mesh

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Ethernet (IEEE802.3)

Ethernet (IEEE802.3)

Ethernet
Ethernet เป็นโปรโตคอลของระบบ lan ตามมาตราฐานหนึ่งของ IEEE ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 มาตรฐานหลัก ๆ คือ ARCnet , Token Ring และ Ethernet ซึ่งคุณสมบัติ ข้อกำหนด ขีดจำกัด ลักษณะการใช้งาน อุปกรณ์ที่ใช้ และ การใช้ Topology ก็จะแตกต่างกันออกไป ดังแสดงตามตารางดังนี้
มาตรฐาน ความเร็วการรับส่งข้อมูล ชนิดของสายสัญญาณ รูปแบบของ Topology
ARCnet 2.5 Mbps Coaxial , UTP Star , Bus
Token Ring 4 หรือ 16 Mbps UTP , STP Ring , Star
Ethernet 10 Mbps Coaxial , UTP Bus , Star

ซึ่งในที่นี้เราจะกล่าวถึงเฉพาะโปรโตคอล Ethernet เท่านั้น ซึ่งโปรโตคอลของ Ethernet นี้ จะอยู่ในมาตรฐานของ IEEE 802.3 โดยได้รับการออกแบบโดย Xerox ในปี 1970 เป็นเทคโนโลยีในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10 Mbps แต่ในในปัจจุบันนี้ได้มีเทคโนโลยีความเร็วที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเรียกว่า Fast Ethernet และ Gigabit Ethernet ดังนี้

ETHERNET
อัตราความเร็ว 10 Mbps บางทีจะเรียกว่า ......... ตามมาตรฐานIEEE 802.3
อัตราความเร็ว 100 Mbps ซึ่งเรียกว่า Fast Ethernet system ตามมาตรฐาน IEEE 802.3u
อัตราความเร็ว 1000 Mbps ซึ่งเรียกว่า Gigabit Ethernet system ตามมาตรฐาน IEEE 802.3z/802.3ab อัตราความเร็ว 10 Gbps ซึ่งเรืยกว่า Gigabit Ethernet system ตามมาตรฐาน IEEE 802.3ae

ซึ่งเทคโนโลยีความเร็วดังที่กล่าวมานี้ จะตั้งอยู่บนมาตรฐาน ของ Ethernet แบบเดียวกัน คือ สายที่สามารถใช้ได้ ก็จะเป็นพวกสาย โคแอคเชียล ( Coaxial Cable ) สายแบบ เกลียวคู่ ( Twisted Pair Cable - UTP ) และสายแบบ ใยแก้วนำแสง ( Fiber Optic Cable ) ส่วนโทโปโลยี ที่ใช้ก็จะอยู่ในรูปแบบของ BUS กับ Ring เสียเป็นส่วนใหญ่
จากระบบเครือข่ายแบบ Ethernet ที่กล่าวมาทั้งหมด จะมีจุดสำคัญอยู่ที่ ได้นำเอาคุณสมบัติดังที่กล่าวมา มาใช้ มาเชื่อมต่อให้อยู่ในรูปแบบ ที่ต้องการใช้ตามมาตรฐานของ Ethernet ซึ่งจะมีมาตรฐานการเชื่อมต่ออยู่ด้วยกันหลายแบบ มาตรฐานในการเชื่อมต่อ อย่างเช่น 10base2 , 10base5 , 10baseT , 10baseFL , 100baseTX , 100baseT4 และ 100baseFX ซึ่งมาตรฐานรูปแบบนี้ จะขึ้นอยู่กับ ความเร็วในการรับส่งข้อมูล อุปกรณ์ที่ใช้ และ ระยะทางที่สามารถส่งได้ อย่างเช่น 10base2 เป็นมาตรฐานที่ใช้ความเร็ว 10 Mbps ใช้สายแบบ Coaxial แบบบางหรือ เรียกว่า thin Ethernet รูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology) เป็นแบบ BUS ระยะทางในการรับส่งข้อมูลประมาณ 185-200 เมตร เป็นต้น

ETHERNET
มาตรฐาน การเชื่อมต่อ
10base2
10base5
10baseT
10baseF
100baseT
อัตราความเร็ว การรับส่งข้อมูล

10 Mbps
10 Mbps
10 Mbps
10 Mbps
100 Mbps
ระยะความยาว ในการรับส่งข้อมูล

185 - 200 เมตร
500 เมตร
100 เมตร
2000 เมตร
......... เมตร
Topology ที่ใช้
BUS
STAR

สายที่ใช้ Cable
Thin Coaxial
Thick Coaxial
Twisted Pair (UTP)
Fiber Optic
Twisted Pair (UTP)

ชื่อเรียก
Thin Ethernet หรือ Cheapernet
Thick Ethernet
Fast Ethernet
ข้อสอบ 7 ข้อ

1.Ethernet เป็นโปรโตคอลของระบบ lan ตามมาตราฐานหนึ่งของ
IEEE ซึ่งมีอยู่ด้วยกันมีกี่มาตราฐาน
ก.4 มาตราฐาน
ข.3 มาตราฐาน
ค.2 มาตราฐาน
ง.5 มาตราฐาน
ตอบข้อ ข 3 มาตราฐานหลัก ๆ คือ ARCnet , Token Ring และ Ethernet ซึ่งคุณสมบัติ ข้อกำหนด ขีดจำกัด ลักษณะการใช้งาน

2.มาตรฐานของ IEEE 802.3 โดยได้รับการออกแบบโดย Xerox ในปีใด
ก.1970
ข.1990
ค.1960
ง.1970
ตอบข้อ ก 1970 เป็นเทคโนโลยีในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10 Mbps แต่ในในปัจจุบันนี้ได้มีเทคโนโลยีความเร็วที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเรียกว่า Fast Ethernet

3.มาตรฐานที่ใช้ความเร็ว 10 Mbps ใช้สายแบบใด
ก.token
ข.cable
ค.coaxial
ง.twisteb
ตอบข้อ ค Coaxial แบบบางหรือ เรียกว่า thin Ethernet รูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology) เป็นแบบ BUS ระยะทางในการรับส่งข้อมูลประมาณ 185-200 เมตร

4.10 base2 topologyที่ใช้คือ
ก.star
ข.cable
ค.ring
ง.bus
ตอบ ข้อ ง bus

5.สายที่ใช้cable fiber optic มาตรฐานการเชื่อมต่อคือ
ก.10 base2
ข.10 base5
ค.10 basef
ง.100 baset
ตอบข้อ ค 10basef

6.10 baset มีระยะความยาวในการรับส่งข้อมูลกี่เมตร
ก 100 เมตร
ข.2000 เมตร
ค.185-200 เมตร
ง.50 เมตร
ตอบข้อ ก 100 เมตร

7. 10base5 มีชื่อเรียกว่าอะไร
ก.fast Ethernet
ข.Thin Ethernet
ค.Thick Ethernet
ง.cheapernet
ตอบข้อ ค Thick Ethernet

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

TOPOLOGY

TOPOLOGY
แบบ Bus

การเชื่อมต่อแบบบัสจะมีสายหลัก 1 เส้น เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเซิร์ฟเวอร์ และไคลเอ็นต์ทุกเครื่องจะต้องเชื่อมต่อสายเคเบิ้ลหลักเส้นนี้ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกมองเป็น Node เมื่อเครื่องไคลเอ็นต์เครื่องที่หนึ่ง (Node A) ต้องการส่งข้อมูลให้กับเครื่องที่สอง (Node C) จะต้องส่งข้อมูล และแอดเดรสของ Node C ลงไปบนบัสสายเคเบิ้ลนี้ เมื่อเครื่องที่ Node C ได้รับข้อมูลแล้วจะนำข้อมูล ไปทำงานต่อทันที
ข้อดี
-ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวางสายเคเบิลมากนัก
-สามารถขยายระบบได้ง่าย
-เสียค่าใช้จ่ายน้อย
ข้อเสีย
-อาจเกิดข้อผิดพลาดง่าย เนื่องจากทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อยู่บนสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ดังนั้นหากมีการขาดที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ก็จะทำให้เครื่องอื่นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในระบบไม่สามารถใช้งานได้ตามไปด้วย
-การตรวจหาโหนดเสีย ทำได้ยากเนื่องจากขณะใดขณะหนึ่งจะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อความออกมาบนสายสัญญาณ ดังนั้นถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากๆ อาจทำให้เกิดการคับคั่งของเน็ตเวิร์ก ซึ่งจะทำให้ระบบช้าลงได้


แบบ Ring
การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ ระบบ Ring มีการใช้งานบนเครื่องตระกูล IBM กันมาก เป็นเครื่องข่าย Token Ring ซึ่งจะใช้รับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องมินิหรือเมนเฟรมของ IBM กับเครื่องลูกข่ายบนระบบ
การเชื่อมต่อแบบวงแหวน ถูกออกแบบให้ใช้ Media Access Units (MAU) ต่อรวมกันแบบเรียงลำดับเป็นวงแหวน แล้วจึงต่อ คอมพิวเตอร์ (PC) ที่เป็น Workstation หรือ Server เข้ากับ MAU ใน MAU 1 ตัวจะสามารถต่อออกไปได้ถึง 8 สถานี เมื่อสถานีถัดไปนั้นรับรู้ว่าต้องรับข้อมูล แล้วมันจึงส่งข้อมูลกลับ เป็นการตอบรับ เมื่อสถานีที่จะส่งข้อมูลได้รัยสัญญาณตอบรับ แล้วมันจึงส่งข้อมูลครั้งแรก แล้วมันจะลบข้อมูลออกจากระบบ เพื่อให้ได้ใช้ข้อมูลอื่นๆ ต่อไป ดังนั้นทุกสถานีบน โทโปโลยี วงแหวนจะได้ทำงานทั้งหมดซึ่งจะคอยเป็นผู้รับและผู้ส่งแล้วยังเป็นรีพีทเตอร์ในตัวอีกด้วย ข้อมูลที่ผ่านไปแต่ละสถานี นั้น ข้อมูลที่เป็นตำแหน่งที่อยู่ตรงกับ สถานีใด สถานีนั้นจะรับข้อมูลเก็บไว้ แต่มันจะไม่ลบข้อมูลออกจากระบบ มันยังคงส่งข้อมูลต่อไป ดังนั้นผู้ส่งข้อมูลครั้งแรกเท่านั้นที่จะเป็นผู้ลบข้อมูลออกจากระบบ ครั้นเมื่อสถานีส่ง TOKEN มาถามสถานีถัดไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ สถานีส่ง TOKEN จะทวนซ้ำข้อมูลเป็นครั้งที่สอง ถ้ายังคงไม่ได้รับคำตอบ จึงส่งข้อมูลออกไปได้ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ไม่ให้ระบบหยุดชะงักการทำงานลงของระบบ เนื่องจากสถานีหนึ่งเกิดการเสียหาย หรือชำรุด ระบบจึงยังคงสามารถทำงานต่อไปได้
ข้อดี
-ใช้เคเบิลและเนื้อที่ในการติดตั้งน้อย
-คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเน็ตเวิร์กมีโอกาสที่จะส่งข้อมูลได้อย่างทัดเทียมกัน
ข้อเสีย
-หากโหลดใดโหลดหนึ่งเกิดปัญหาขึ้นจะค้นหาได้ยากว่าต้นเหตุอยู่ที่ไหน และวงแหวนจะขาดออก

แบบ Star
การเชื่อมต่อแบบสตาร์นี้จะใช้อุปกรณ์ Hub เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ โดยที่ทุกเครื่องจะต้องผ่าน Hub สายเคเบิ้ลที่ใช้ส่วนมากจะเป้น UTP และ Fiber Optic ในการส่งข้อมูล Hub จะเป็นเสมือนตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ปัจจุบันมีการใช้ Switch เป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่า
แบบ Starจะเป็นลักษณะของการต่อเครือข่ายที่ Work station แต่ละตัวต่อรวมเข้าสู่ศูนย์กลางสวิตซ์ เพื่อสลับตำแหน่งของเส้นทางของข้อมูลใด ๆ ในระบบ ดังนั้นใน โทโปโลยี แบบดาว คอมพิวเตอร์จะติดต่อกันได้ใน 1 ครั้ง ต่อ 1 คู่สถานีเท่านั้น เมื่อสถานีใดต้องการส่งข้องมูลมันจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางสวิทซ์ก่อน เพื่อบอกให้ศูนย์กลาง สวิตซ์มันสลับตำแหน่งของคู่สถานีไปยังสถานีที่ต้องการติดต่อด้วย ดังนั้นข้อมูลจึงไม่เกิดการชนกันเอง ทำให้การสื่อสารได้รวดเร็วเมื่อสถานีใดสถานีหนึ่งเสีย ทั้งระบบจึงยังคงใช้งานได้ ในการค้นหาข้อบกพร่องจุดเสียต่างๆ จึงหาได้ง่ายตามไปด้วย แต่ก็มีข้อเสียที่ว่าต้องใช้งบประมาณสูงในการติดตั้งครั้งแรก
ข้อดี
-ติดตั้งและดูแลง่าย
-แม้ว่าสายที่เชื่อมต่อไปยังบางโหลดจะขาด โหลดที่เหลืออยู่ก็ยังจะสามารถทำงานได้ ทำให้ระบบเน็ตเวิร์กยังคงสามารถทำงานได้เป็นปกติ
-การมี Central node อยู่ตรงกลางเป็นตัวเชื่อมระบบ ถ้าระบบเกิดทำงานบกพร่องเสียหาย ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่าจะไปแก้ปัญหาที่ใด
ข้อเสีย
-เสียค่าใช้จ่ายมาก ทั้งในด้านของเครื่องที่จะใช้เป็น central node และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสายเคเบิลในสถานีงาน
-การขยายระบบให้ใหญ่ขึ้นทำได้ยาก เพราะการขยายแต่ละครั้งจะต้องเกี่ยวเนื่องกับโหลดอื่นๆ ทั้งระบบ
-เครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางมีราคาแพง แบบวงแหวน (Ring Network)

แบบMESH
เป็นรูปแบบที่ถือว่า สามารถป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุด เป็นรูปแบบที่ใช้วิธีการเดินสายของแต่เครื่อง ไปเชื่อมการติดต่อกับทุกเครื่องในระบบเครือข่าย คือเครื่องทุกเครื่องในระบบเครือข่ายนี้ ต้องมีสายไปเชื่อมกับทุก ๆ เครื่อง ระบบนี้ยากต่อการเดินสายและมีราคาแพง จึงมีค่อยมีผู้นิยมมากนัก
ข้อดี
-เหนือกว่ารูปแบบการเชื่อมต่อประเภทอื่นๆ อยู่หลายอย่างๆ เช่น อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล ความเชื่อถือได้ของระบบ, ง่ายต่อการตรวจสอบความผิดพลาด และ ข้อมูลมีความปลอดภัยและมีความเป็นส่วนตัว ส่วน
ข้อเสีย
คือจำนวนจุดที่ต้องใช้ในการเชื่อมต่อ และจำนวน Port I/O ของแต่ละโหนดมีจำนวนมาก (ตามสูตรข้างต้น) ถ้าในกรณีที่จำนวนโหนดมาก เช่นถ้าจำนวนโหนดทั้งหมดในเครือข่ายมีอยู่ 100 โหนด จะต้องมีจำนวนจุดเชื่อมต่อถึง 4,950 เส้น เป็นต้น

แหล่งที่มา
http://www.yupparaj.ac.th/


ข้อสอบ 5 ข้อ

1.เครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือแต่ละเครื่อง จะมีรีพีตเตอร์ (Repeater) ประจำแต่ละเครื่องมีกี่ตัว

ก. 2

ข.1

ค.3

ง.4

ตอบข้อ ข.1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลที่จำเป็นต่อการติดต่อสื่อสารเข้าในส่วนหัวของแพ็กเกจที่ส่ง และตรวจสอบข้อมูลจากส่วนหัวของ Packet ที่ส่งมาถึง ว่าเป็นข้อมูลของตนหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยัง Repeater ของเครื่องถัดไป

2. ข้อใดคือสายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก ใช้เป็นทางเดินข้อมูลของทุกเครื่องภายในระบบเครือข่าย

ก.Terminator

ข.Bus

ค.Backbone

ง.Node


ตอบข้อ ค.Backboneแบ็กโบน คือ สายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก ใช้เป็นทางเดินข้อมูลของทุกเครื่องภายในระบบเครือข่าย และจะมีสายแยกย่อยออกไปในแต่ละจุด เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์

3.เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่าอะไร

ก. บัส (bus)

ข.โหนด (node)

ค.สตาร์(star)

ง.ฮับ(hub)

ตอบข้อ ง ฮับ (HUB) หรือเครื่อง ๆ หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสายสัญญาญที่มาจากเครื่องต่าง ๆ ในเครือข่าย และควบคุมเส้น

4.Topology แบบใดที่สามารถป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุด

ก. mesh

ข.star

ค.bus

ง.ring

ตอบข้อ ก MESH เป็นรูปแบบที่ถือว่า สามารถป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุด เป็นรูปแบบที่ใช้วิธีการเดินสายของแต่เครื่อง

5.topologyแบบใดที่มีการเชื่อมต่อแบบสตาร์นี้จะใช้อุปกรณ์ Hub เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ

ก. บัส

ข. ริงค์

ค.สตาร์

ง. โหนด


ตอบ ข้อ ค แบบ Star การเชื่อมต่อแบบสตาร์นี้จะใช้อุปกรณ์ Hub เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ โดยที่ทุกเครื่องจะต้องผ่าน Hub สายเคเบิ้ลที่ใช้ส่วนมากจะเป้น UTP และ Fiber Optic ในการส่งข้อมูล Hub จะเป็นเสมือนตัวทวนสัญญาณ

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ออกข้อสอบ 10 ข้อ

ให้ออกข้อสอบ 10 ข้อ
เรื่อง
1.OSI Model
2.Topology
3.ประเภทของระบบเครือข่าย

1.OSI Modelมีการพัฒนาโดย International Organization for Standardization (ISO) ในปีใด
.ในปี1984
ข.ในปี1980
ค.ในปี 1884
ง.ในปี1990
ตอบข้อ ก ในปี 1984 และเป็นสถาปัตยกรรมโมเดลหลักที่ใช้อ้างอิงในการสื่อสาระหว่าง Computer โดยข้อดีของ OSI Model คือแต่ละ Layer จะมีการทำงานที่เป็นอิสระจากกัน

2.Ethernet เป็นโปรโตคอลของระบบ lan ตามมาตราฐานหนึ่งของ IEEE ซึ่งมีอยู่ด้วยกันมีกี่มาตราฐาน
ก.4 มาตราฐาน
ข.2 มาตราฐาน
.3 มาตราฐาน
ง.5 มาตราฐาน
ตอบข้อ ค 3 มาตราฐานหลัก ๆ คือ ARCnet , Token Ring และ Ethernet ซึ่งคุณสมบัติ ข้อกำหนด ขีดจำกัด ลักษณะการใช้งาน อุปกรณ์ที่ใช้ และ การใช้ Topology ก็จะแตกต่างกันออกไป

3.การใช้เครือข่ายแบบไร้สายนี้ สามารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์พีซี และโน๊ตบุ๊ก และต้องใช้การ์ดแลนแบบไร้สายมาติดตั้ง รวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกว่าอะไร
ก.Token
. Access Point
ค. Hierarchical
ง.Repeatre
ตอบ ข้อ ข. Access Pointซึ่งเป็นอุปกรณ์จ่ายสัญญาณสำหรับระบบเครือข่ายไร้สาย มีหน้าที่รับส่งข้อมูลกับการ์ดแลนแบบไร้สาย



4.7 Layer ของ OSI Model สามารถแบ่งได้เป็นกี่กลุ่ม
.2
ข.1
ค.3
ง.4
ตอบข้อ ก 2กลุ่ม คือ upper layers และ lower layers
Upper layers โดยทั่วไปจะเป็นส่วนที่พัฒนาใน Software Application โดย
ประกอบด้วย Application Layer, Presentation Layer และ Session Layer
Lower Layer จะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการสื่อสารข้อมูลซึ่งอาจจะพัฒนาได้ทั้งแบบเป็น Software และ Hardware

5. องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ส่วนใดที่ทำหน้าที่ในการสร้างหรือจัดลำดับขั้นตอนของการประมวลผลข้อมูล ของระบบคอมพิวเตอร์
ก. อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์
ข. อุปกรณ์ซอฟต์แวร์
. ระเบียบวิธีการ (Procedure)
ง. บุคลากร
ตอบ ข้อ ค (Procedure) คือ ขบวนการอธิบายขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ตั้งแต่การรับข้อมูล การประมวลผล ตลอดจนการแสดงผลลัพธ์

6. OSI เป็น model ในระดับแนวคิด ประกอบด้วย Layer ต่างๆ กี่ชั้น
ก.5
ข.6
ค.7
ง.8
ตอบข้อ ค 7 ชั้น แต่ละ Layer จะอธิบายถึงหน้าที่การทำงานกับข้อมูล


7. องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ในการถอดรหัสคำสั่ง ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เขียนคำสั่งให้ คอมพิวเตอร์ทำงาน
ก. หน่วยรับข้อมูล
ข. หน่วยคำนวณทางคณิตศาสตร์และลอจิก
. หน่วยควบคุม
ง. หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์
ตอบข้อ ค หน่วยควบคุม (Control Unit) จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ตามคำสั่งของโปรแกรมที่ป้อนให้กับคอมพิวเตอร์ โดยจะอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำมาไว้ยังหน่วยควบคุม


8.การแบ่งรูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย Lan นั้น สามารถแบ่งออกเป็น กี่ประเภท
ก.1
.2
ค.3
ง.4
ตอบข้อ ข 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่การเชื่อมต่อแบบ Peer - To - Peer และแบบ Client / Server
แบบ Peer - to - Peer เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ละเครื่อง จะสามารถแบ่งทรัพยากรต่างๆ
แบบ client-server เป็นระบบที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมีฐานะการทำงานที่เหมือน ๆ กัน เท่าเทียมกันภายในระบบ เครือข่าย

9.ในปัจจุบันการส่งสัญญาณของ Wireless Lan ทำได้ไกลมากยิ่งขึ้น สามารถส่งได้ไกลเท่าไร
ก.20กม.
ข.15กม.
.10กม.
ง. 5กม.
ตอบข้อ คได้ไกลกว่า 10 กม. ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการเช้าสายสัญญาณลงไปได้เป็นอย่างมาก

10. ปัจจุบันนี้โลกเราอยู่ในยุคสารสนเทศ (Information Age) องค์ประกอบที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับยุค สารสนเทศมีอะไร
ก. คอมพิวเตอร์ บุคลากร ซอฟต์แวร์
ข. คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
. ระบบสื่อสาร คอมพิวเตอร์ บุคลากร
ง. คอมพิวเตอร์ โทรคมนาคม ซอฟต์แวร์
ตอบ ข้อ ค ระบบสื่อสาร คอมพิวเตอร์ บุคลากร องค์ประกอบที่สำคัญของยุคสารสนเทศ ได้แก่ 1. คอมพิวเตอร์ 2. เทคโนโลยีโทรคมนาคม หรือระบบสื่อสาร 3. บุคลากร

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คำศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวกับระบบเครือข่าย

คำศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวกับระบบเครือข่าย
1.IDSLย่อมาจาก ISDN digital subscriber line เป็นเทคโนโลยีระบบ DSL ที่ถูกตั้งชื่อตาม ISDN เนื่องจากมีความเร็วการเชื่อมต่อเบื้องต้น (Basic Rate Interface - BRI) เท่ากับ 144 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งเปรียบเสมือนกับ การที่ช่องสัญญาณ B ทั้ง 2 ช่อง และช่องสัญญาณ D ในระบบ ISDN ถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างถาวร ภายในคู่สายสัญญาณเพียงคู่เดียว ระบบ IDSL นี้ใช้การเข้ารหัสสาย แบบ 2B1Q
2.Internetอินเทอร์เน็ต เป็นระบบเครือข่ายทั่วโลกขนาดใหญ่ ที่ต่อเชื่อม คอมพิวเตอร์ และเครือข่าย จำนวนมากทั่วโลก เข้าด้วยกัน และสามารถเข้าถึงได้ จากเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใดก็ได้ โดยอาศัย การต่อเชื่อมกับ โมเด็ม หรือเราเตอร์ (Router) และโปรแกรมที่เหมาะสม
3.Intranetอินทราเน็ต เป็นระบบเครือข่าย ภายในบริษัทหรือองค์กร ที่ใช้ประโยชน์จาก เครื่องมือบางอย่าง เหมือนกับที่นิยมใช้อยู่ เป็นจำนวนมาก ในระบบอินเทอร์เน็ต (เช่นใช้บราวเซอร์ สำหรับดูเอกสารต่างๆ หรือ การใช้ภาษา HTML สำหรับเตรียมข้อมูลภายใน หรือประกาศต่างๆ ของบริษัท เป็นต้น)
4.ISDNย่อมาจาก Integrated Services Digital Network เป็นโปรโตคอล สำหรับสื่อสาร ที่ให้บริการ โดยบริษัทโทรศัพท์พื้นฐานต่างๆ สามารถให้บริการ เชื่อมต่อความเร็วสูง ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และเครือข่าย ในสถานที่ต่างๆ ได้

5.ISPInternet Service Provider บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต ได้แก่ KSC, CS-Loxinfo, Internet Thailand,Samart Connect ,เป็นต้น

6.JAVASCRIP, JAVA APPLETเป็นภาษาหนึ่งที่ใช้สำหรับการสร้างและตกแต่งเอกสารบน เวิลด์ ไวล์ เว็บ
7.LANเป็นคำย่อของ Local Area Network หรือเครือข่ายท้องถิ่น ซึ่งโดยปกติ หมายถึงเครือข่าย หรือกลุ่มของส่วนต่างๆ ของเครือข่าย ที่มีอยู่ ภายในห้องเดียวกัน หรือบริเวณอาคารเดียวกัน เกี่ยวข้องกับระบบ WAN
8.LOG INขั้นตอนการขออนุญาต เข้าระบบ ปกติจะมี ID และ Password เป็นตัวควบคุม
9.Modemโมเด็ม เป็นอุปกรณ์สำหรับ ต่อเชื่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ เข้ากับ เครื่องคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายอื่นๆ โดยอาศัย คู่สาย โทรศัพท์ธรรมดาเท่านั้น โมเด็มจะทำการ "โมดูเลต" สัญญาณดิจิตอล ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เข้ากับสัญญาณแอนาล็อก สำหรับการส่งข้อมูล และทำการ "ดีโมดูเลต" สัญญาณแอนาล็อกเหล่านั้น กลับไปเป็น ข้อมูลดิจิตอล ที่คอมพิวเตอร์อีกฝั่งหนึ่ง สามารถเข้าใจได้
10.NEWSGROUPSกลุ่มสนทนาทางเครือข่าย หรือทางอินเตอร์เน็ต
11.Packetเป็นกลุ่มของข้อมูลที่มีการรับส่งกันอยู่ ภายในเครือข่าย ที่มีการเติม "เฮดเดอร์" ซึ่งเป็นข้อมูล ที่บอกถึงลักษณะ ของข้อมูลที่บรรจุอยู่ภายใน และปลายทางของ แพ็คเก็ต เราสามารถเปรียบ แพ็คเก็ต ได้กับ "ซองใส่ข้อมูล" โดยที่มีส่วนเฮดเดอร์ เปรียบได้กับที่อยู่นั่นเอง
12.PCIPeripheral Component Intercnnect มาตราฐานการเชื่อม หรือ อินเตอร์เฟส แบบใหม่ที่ให้ความเร็วสูงกว่า ISA แล EISA
13.POP SERVERPost Office Protocol คือ เซอร์เวอร์ที่ใช้ในการรับส่ง Email

14.PROTOCOLมาตราฐานที่ใช้ร่วมกัน ในการติดต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ด้วยกัน
15.PROXY SERVERเซอร์เวอร์หรือโฮสต์ ใช้สำหรับเพิ่มความเร็วในการเล่นเน็ต โดยเก็บข้อมูลใน proxy server ทำให้ผู้ใช้รายอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาข้อมูลในต่างประเทศอีก
16.ROUTERอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่ง ทำหน้าที่แปลง package ของเครือข่ายหนึ่งให้เครือข่ายอื่นๆ เข้าใจได้
17.SCSISmall Computer System Interface การเชื่อมต่ออุปกรณ์ เพื่อรับ-ส่ง ข้อมูลถึงกัน
18.SEARCH ENGINEเครื่องมือช่วยในการค้นหา web site ต่างๆ บน internet เช่น web yahoo , google เป็นต้น
19.SERVERคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเก็บข้อมูล
20.SPAM MAILEmail ที่ถูกส่งมายังผู้รับ โดยผู้รับไม่ได้ยินยอม โดยมีลักษณะคือส่งมาบ่อย ๆ และมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขายสินค้าและบริการ
21.TCP/IPTransmission Control Protocol/Internet Protocal เป็นมาตราฐานอย่างหนึ่งในการสื่อสาร ทางด้าานอินเตอร์เน็ต
22.TELNETเครื่องมือในการติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกล
23.TOKEN RINGมาตราฐานการเชื่อต่อเคเบิล อย่างหนึ่งในระบบเครือข่าย
24.UPLOADวิธีการส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ
25.URLUnique Resource Locator ชื่อของคอมพิวเตอร์ ใช้เพื่อระบุตำแหน่งของเอกสารบน เวิลด์ ไวด์ เว็บ
26.WANWide Area Network ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า LAN สามารถติดต่ไปยังเครือข่ายภายนอกได้ทั่วโลก

27.WEBMASTERชื่อตำแหน่งของผู้ที่สร้าง ดูแล จัดการ web ทั้งนี้อาจหมายถึงเข้าของ web ก็ได้28.WORLD WIDE WEBWWW หรือ Web ระบบที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต สามารถค้นหาข้อมูลภายใน web
29.Dial up การติดต่อกับคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่าย ผ่านทางสายโทรศัพท์
30.DNS Domain Name Server การแปลงชื่อโฮตของเครือข่ายไปเป็นแอดเดรศ บนระบบเครือข่าย TCP/IP หรือใน internet